การ์ตูน ผู้หลบภัยในประเทศเกาหลี เปิดเผยถูกไม่ยอมรับงานประชาสัมพันธ์จาก UNHCR เหตุหวั่นหวาดกระทบเมืองไทย
นางสาว บิดาความสำราญ รวมสมบัติพัสถาน อดีตกาลพิธีกรวิธีการระบบประชาธิปไตยใหม่ ผู้ลี้ภัยการเมืองคนประเทศไทย จากคดีมัธยม112 ที่พำนักพักพิงอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงเรื่องการถูกไม่ยอมรับการประชาสัมพันธ์งานจาก UNHCR โดยกล่าวว่า
” รีวิวการโดนไม่ยอมรับงานโฆษณาผู้หลบภัยจาก UNHCR
มันเริ่มมาจากเมื่อเดือนที่ผ่านมากลุ่ม PR ของ UNHCR (ประเทศเกาหลี) ติดต่อพวกเรามา กล่าวว่าต้องการทำหนังประชาสัมพันธ์ผู้หลบภัย ตอนสัมมนาบรีฟงานกันเค้าก็กล่าวว่าอยากที่จะให้มีความมากมายหลากหลายในหนัง ต้องการแปลงภาพจำผู้หนีภัย ไม่ใช่แค่เด็กดำชาวมุสลิม กางคกราวเกรียวน์เป็นระเบิดอะไรอย่างนี้ ซึ่งพวกเราสารภาพว่าทีแรกๆพวกเราเซอร์ไพรส์มากมายที่ออฟฟิสนี้ติดต่อพวกเรามา แล้วหลังจากนั้นก็คิดในด้านบวกนะว่า ทั้งที่พวกเราวิภาควิจารณ์กลุ่ม PR ของ UNHCR มาตลอด แต่ว่าเค้ายังเอาพวกเรามาอยู่ในหนัง อาจต้องการเปลี่ยนแปลงจริงๆอะไรแบบงี้ แงๆงงงัน 555
ผ่านการสัมมนามา 2 รอบ ถึงวันถ่ายจริงนั่นก็คือเมื่อวานนี้ เพียงพอพวกเราไปถึงฉาก ผู้กำกับบอกพวกเราว่าพวกเราโดนถอนจากโปรเจค แล้วมีพวกเราเพียงแค่ผู้เดียวที่โดนถอน เหตุผลเป็นกลุ่มประเทศเกาหลีเอางานไปเสนอที่ไทยแล้วไม่ผ่านที่พวกเรา (เค้าอ้างถึงว่าเวลาเสนอโปรเจคจะต้องผ่านสำนักงานใหญ่ของภูมิภาคซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเทวดา) เหตุผลเป็นหนักใจเรื่องความปลอดภัยของพวกเราหากพวกเราจะต้องกลับไทย แล้วก็อีกเหตุผลเป็น UN ทุกที่ทำงานจะต้องดำเนินงานกับรัฐบาลประเทศนั้นๆรวมทั้งจะต้องมีความเกี่ยวพันที่ดีกับรัฐบาลในประเทศนั้นๆซึ่งก็คือหากพวกเรากล่าวในฟิล์มถ่ายรูป มันก็จะกระทบกับความเกี่ยวข้องของ UNHCR กับเมืองไทยด้วย
สรุปเมื่อวานนี้ผู้กำกับคนนี้ตกลงใจจะทำหนังสั้นแยกเป็นของพวกเราโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แล้วในตอนนี้ที่อัดไปผู้กำกับก็รู้สึกเสียดายที่บทสำหรับพูดพวกเรามิได้ไปอยู่ในหนังของ UNHCR อ่ะนะ พวกเราก็เห็นด้วย เพราะเหตุว่าพวกเราแน่ใจว่าพวกเราบอกก้าวหน้ามากเรื่องนี้ แมสเซจที่พวกเราจะสื่อเป็น
1.) ผู้ใดกันก็บางทีอาจจะเป็นผู้หลบภัยได้ซักวัน มิได้เกี่ยวกับสีผิว ศาสนา หรือชนชาติ แม้กระนั้นการโปรโมทของหน่วยงานสุดยอดมันทำเป็นแย่มาก มันทำให้คนทั่วทั้งโลกรู้ผิดเกี่ยวกับผู้หลบภัย พวกเราไม่เห็นพ้องกับวิธีขายความขาดแคลน โอเค ความอัตคัดมันขายได้ แต่ว่า UNHCR ควรจะทำเป็นดียิ่งกว่านี้ รวมทั้งควรจะทำให้ดีมากกว่านี้ในประเด็นการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้หนีภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 5 grounds (เชื้อชาติ, ชนชาติ, ศาสนา,การบ้านการเมือง, กรุ๊ปด้านสังคมใดๆก็ตาม) ไม่ใช่ไปจุดโฟกัสเรื่องอื่น
2.) พวกเราบอกว่าสิ่งที่ผู้หนีภัยอยากเยอะที่สุดไม่ใช่เงิน แม้กระนั้นเป็น ‘สถานะ’ ไม่มีผู้อพยพคนไหนกันอยากได้เงินช่วยเหลือนิดๆหน่อยๆประทังชีวิตตลอดกาลหรอก มันไม่มีเกียรติ ถ้าเกิดผู้หนีภัยได้รับการยืนยันสถานะ เค้าก็จะสามารถปฏิบัติงาน หารายได้ดำรงชีพได้ เสียภาษีอากร มีเกียรติพอๆกับคนสามัญ คนไหนจะไม่ต้องการได้ UNHCR น่าจะจุดโฟกัสที่ตรงนี้มากยิ่งกว่า มันยืนนานกว่าการรับบริจาคสบู่ อื่นๆอีกมากมาย หมดคำจะบอก เป็น… โอเค สบู่มันบางครั้งก็อาจจะเร่งด่วน แม้กระนั้นเรื่องเร่งด่วนชั่วครั้งคราวจำเป็นต้องเอามาขายทั้งชีวิตหรอ เพราะเหตุไรไม่ประชาสัมพันธ์อะไรที่จีรังยั่งยืน สร้างองค์ความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผู้หลบภัยให้คนทั่วทั้งโลกรู้เรื่องอ่ะ อะไรที่มันฉลาดหลักแหลมกว่านี้ไม่ทำ
3.) ภาพที่ UNHCR เอามาโฆษณามันมิได้ represent พวกเรา และก็ผู้หลบภัยอีกผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อย พวกเรามิได้คิดว่ามันเป็นผู้แทนของพวกเราเลย อีกคนไม่ใช่น้อยก็คิดเช่นเดียวกันว่านี่ไม่ใช่เค้า พวกเราเห็นด้วยว่ามีผู้อพยพที่จนถึงและก็ผอมบางจริงๆแต่ว่ามันไม่ใช่ทั้งหมดทั้งปวง แล้วเพราะเหตุใด UNHCR จะต้องเอาเพียงแค่อย่างนี้มาขาย แล้วแม้ว่าพวกเราจะกระทั่งและก็ผอมบางจริง มีความคิดว่าพวกเรา happy หรอที่เห็นภาพตนเองถูกเอามาหารายได้อย่างงี้
4.) ในที่สุดเป็นข้อเสนอแนะของพวกเราว่าหยุดขายความอัตคัด รวมทั้งช่วยโฆษณาเกียรติและก็ความเป็นคนของผู้หลบภัยหน่อย ทำอย่างงี้ราวกับเอาผู้อพยพมาใส่กรงให้ผู้ชมเห็นอกเห็นใจแล้วเจียดเศษเงินให้ รับมิได้อ่ะนะ
เนี่ย 4 ข้อที่พวกเราบอก ก็มิได้ใจดำเลยคะ UNHCR อ่ะใจจืดใจดำ ใจคอคับแคบด้วย พวกเราบอกเค้าไปว่าพวกเรารับมิได้หรอกกับคำกล่าวอ้างเรื่องที่ตัดพวกเราออกด้วยเหตุว่าห่วงความปลอดภัยของพวกเราถ้าหากพวกเรากลับไทย เนื่องจากถ้าหากพวกเรากลับไทยจริงๆสถานะผู้หลบภัยพวกเราก็จะถูกถอดออกในทันทีอยู่แล้ว แปลว่าพวกเราก็จะไม่ใช่ผู้หลบภัยแล้ว ก็ไม่เป็นผลอะไรกับ UNHCR อยู่ดี ในที่สุดเค้าก็สารภาพนะว่าเรื่องของพวกเรามันการบ้านการเมืองเกินความจำเป็น ถึงได้โดนถอด ก็โอเค สุดแท้แต่ อ่อนดี ไม่มีปัญหา
เพียงแค่มีความรู้สึกว่าพวกเรามากล่าวในนี้ว่าพวกเรากล่าวอะไรไปบ้างดีมากยิ่งกว่า เผื่อจะมีคนรู้เรื่องเรื่องผู้อพยพมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากดูราวกับว่า UNHCR จะเฟลในหน้าที่การงานของตนเอง”