เพจ พล.อำเภอประวิตร โพสต์ภาพ ‘บิ๊กป้อม’ ยุคเป็นนายทหาร แจงเหตุเพราะเหตุไรถึงยังโสด
นักข่าวรายงานการเคลื่อนไหวปัจจุบันของ พล.อำเภอประวิตร วงษ์กาญจน์ รองนายกฯ รักษาราชการแทนนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชากรเมือง (พปชราชการ)ว่า เมื่อเวลา 18.15 น. วันที่ 1 เดือนกันยายน คราวหลังเสร็จสมบูรณ์ภารกิจลงพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เพจเฟซบุ๊ก “พล.อ.ประวิตร วงษ์ทอง General Prawit Wongsuwon” โพสต์ใจความ พร้อมภาพถลายยุคเป็นนายทหารของพล.อำเภอประวิตร ในลักษณะชื่นชอบแบะทางการดำรงชีวิตก่อนหน้าที่ผ่านมา โดยรายละเอียดเป็นการนำรายละเอียดที่ได้มาจากหนังสือ “ พี่ป้อม พี่ใหญ่ พี่ชายที่แสนดี ”ซึ่งทำขึ้นเนื่องในวันเหมือนวันเกิดครบ 76 ปี ของ พล.อำเภอประวิตร ตอนวันที่ 11 เดือนสิงหาคมก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา
รายละเอียดที่เอามาโพสต์ต่อส่ธารณะคราวนี้ เป็นการเขียนถึงตอนขีวิตในแต่ละวัยของพล.อำเภอประวิตร ตั้งแต่ยุคเรียน ความเป็นพี่ชายคนโตที่จำเป็นต้องดูแลน้องชายทั้งยัง 4 คน ความรักที่มีต่อมารดา แล้วก็เหตุผลที่เพราะเหตุไรถึงยังอยู่โสด รวมถึงเบื้องความรักกันของพี่น่อง 3 เปรียญ

สำหรับเนื้อหา มีรายละเอียดดึงดูดสายตาคนอ่านว่า
พี่ป้อม’ ผู้ ‘รักแม่และก็ถูกใจลอง’ รบหนักไม่เคยอยู่ข้างหลังลูกน้อง
หนังสือ“ พี่ป้อม พี่ใหญ่ พี่ชายที่แสนดี ” ซึ่งทำขึ้นเนื่องในวันเหมือนวันเกิดครบ 76 ปี ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์กาญจน์ ช่วงวันที่ 11 เดือนสิงหาคมก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเรื่องราวตั้งแต่ ชีวิตวัยเด็ก ไลฟ์สไตล์ ตอนเป็นเด็กนักเรียนจัดแจงทหาร กระทั่งเข้ารับราชการทหาร แล้วก็ไปสู่การเป็นนักการเมือง หนังสือดังที่กล่าวถึงมาแล้วทำขึ้นจากน้องๆสถานที่สำหรับทำงานร่วมกันมา ปรารถนาบันทึกเรื่องราวเบื้องหน้าเบื้อหลัง – เบื้องหน้าเบื้องหลังชีวิตของ พล.อ.ประวิตรไว้เป็นหนังสือ
รายละเอียดบอกว่า “พี่ป้อม” เป็นทหารมาทั้งชีวิตก็เลยออกจะคุ้นชินกับการใช้คำกล่าวที่มองโผงผางเสียงดังทำให้มองเหมือนเป็นคนดุหรือเคร่งครัดในเวลาทำงาน แต่ว่าถ้าเกิดได้โอกาสสัมผัสชีวิตส่วนตัวของท่านเมื่ออยู่นอกเวลางานแล้ว จะพบว่าเป็นคนสุภาพยิ้มแย้มแจ่มใส มีเมตตาคนไหนได้สนิทสนมจะรู้สึกเพลิดเพลินใจไม่ว่าจะเป็นญาติสนิทเพื่อนพ้อง คนแก่ ผู้น้อยผู้ใต้บังคับบัญชาและก็ชอบกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านเป็นผู้ที่รักเพื่อนพ้อง ลูกน้อง มีความเป็นหัวหน้า เอื้อเฟื้อแล้วก็เป็นผู้บริจาค ทั้งเป็นผู้ผสาน สิบด้านที่ทุกหน่วยงานให้การสารภาพ
นอกนั้นยังเป็นคนที่ถือมั่นในความภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระเจ้าอยู่หัวอย่างที่สุด เป็นลูกที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่อย่างมาก รักครอบครัว รักเพื่อนฝูง รักลูกน้อง ถูกใจเล่นกีฬามันบริหารร่างกายเป็นความรู้สึกนึกคิด มักจะทำบุญติดอกติดใจในธรรมชาติ รักงานศิลปะ มักจะทำอาหาร รวมทั้งมักหาอาหารอร่อยๆให้คนสนิทกินรวมถึงมีหมาตัวโปรดเป็นเพื่อนเล่นหากแม้ตอนนี้จะเข้ามาดำเนินการการบ้านการเมืองก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแล้วก็การทำงานไปจากเดิม
หนังสือ บอกว่า “พี่ป้อม”กำเนิดในครอบครัวทหาร มีพ่อรับราชการเป็นนายทหารเหล่าทหารปืนใหญ่หมายถึงพลตรีเลิศ วงษ์ทอง และก็ม่าม้าสายสนี วงษ์กาญจน์ โดยพี่ป้อมเป็นพี่ชายคนโต มีน้องชาย 4 คน เพราะเหตุว่าป๊ะป๋ามีภารกิจจะต้องเดินทางไปชนบทเสมอๆ ทำให้ท่านแม่สายสนีจะต้องดูแลลูกๆด้วยการหาเงินเสริม ก็เลยจำต้องขายของกิน ดังเช่น ข้าวแกง อาหารตามสั่ง กวยเตี๋ยว ข้าวต้มผูก กล้วยทอด และก็ของหวานอื่นๆซึ่ง “พี่ป้อม”จะต้องปฏิบัติหน้าที่นำของกินไปขายหรือส่งให้ลูกค้าตามสถานที่ต่างๆปฏิบัติหน้าที่ลูกชายคนโตของบ้านแล้วก็พี่ของน้องน้องจ่ายแล้วทำเป็นชื่อพี่ชายที่แสนดีมาตั้งแต่วัยเด็ก
“ไม่ว่าแม่จะกล่าวกับพี่ป้อมเช่นไรหรือในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ พี่ป้อมจะถือคำบอกเล่าของแม่คำไหนเป็นคำนั้นแล้วจะเชื่อฟังและก็ปฏิบัติทุกๆอย่างที่แม่บอกรวมทั้งอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พี่ปอมเชื่อฟังแม่เป็นอย่างมากก็เพราะว่ามาแม่กล่าวเรื่องใดๆก็ตามก็ชอบถูกเสมอ
สิ่งที่จ้ำจี้จ้ำไชเสมอเป็นให้รู้บุญคุณคนต่อชาติ ต่อแผ่นดิน ต่อพระเจ้าแผ่นดิน รวมทั้งต่อผู้มีบุญคุณณ ทั้งยังยังสอนในเรื่องของความซื่อตรงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สุจริตใจต่อมิตรสหาย ไม่เอารีดเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นให้รักครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้อง จำต้องนับว่าเป็นหัวข้อหลัก”
สิ่งที่พิสูจน์ให้มองเห็น ถึงความกตเวทิตาและก็ความรักที่มีต่อครอบครัวเป็นการที่อาจจะความโสดมาถึงปัจจุบันนี้ซึ่งหลายท่านเคยสงสัยว่าเพราะเหตุใดถึงไม่สมรส ซึ่งคนสนิทเล่าให้ฟังว่า เนื่องจากพี่ป้อมเป็นห่วงว่าจะปลอดคนดูแลม่าม้า อดีตกาลว่ากันว่าพี่ป้อมเคยมีคนรักที่แทบจะสมรสกันอยู่แล้ว แม้กระนั้นเนื่องจากว่าพี่ป้อมเป็นห่วงม่าม้า กลัวว่า จะไม่ว่างให้แก่คุณอย่างมาก ประกอบกับพี่ป้อมมีชีวิตกับลูกน้อง ตามแนวชายแดนตลอด ทำให้จะต้องตัดใจจากการมีชีวิตคู่ มาดำเนินชีวิตอยู่กับแม่“
ในหนังสือดังที่กล่าวผ่านมาแล้วยังเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่าง 3 เปรียญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ครองตำแหน่งผู้บังคับกองร้อย ที่กองพันหารราบที่2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาท่าน ได้มีนายทหารรุ่นน้องสองคนมาพักรวมกันอยู่ที่บ้าน โดยพี่ป้อมจะชี้แนะอบรมตลอดจนดูแลการดำรงชีวิตของน้องทั้งคู่คนอย่างดีเยี่ยม เป็นคนทำกับข้าว ประกอบอาหารให้น้องทั้งคู่คนทานเสมอๆทำให้ญาติพี่น้องอีกทั้งสามคนรู้จักมักคุ้นกันมากมาย มีความรักกลมเกลียวพร้อมใจ โดยยึดมั่นพี่ป้อมเป็นผู้ใหญ่ตลอดมา ซึ่งน้องสองคนนั้นเป็นพล.อ.อนุดงษ์ เผ่าจินดา รวมทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์อร่อยนั่นเอง
หนังสือกำหนดยังเจาะจงถึง “พี่คราม” นายปัฐวาท สุขศรีตระกูล เพื่อนพ้องเด็กนักเรียนสถานศึกษาเซนต์คาเบรียล ตั้งแต่ชั้นประถมเรียนปีที่1 จนกระทั่งม.ปีที่ 6 ซึ่งเป็นเพื่อนรักที่คบค้ากันมากยิ่งกว่า 60 ปี ทั้งครอบครัววงษ์ทอง รวมทั้งครอบครัวสุขศรีตระกูล สนิทใกล้เชื้อกันอย่างใหญ่โต โดยยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเกี่ยวกับการทำบุญสุนทานที่ “พี่ป้อม”และก็ “พี่คราม” ต่างก็เดินทางสายบุญร่วมกันมาหลาย สิบปี พี่ป้อมกับพี่ครามสนิทกันมากมายเคยไปรับประทานไปนอนที่บ้านใน กองพล ปโคน.บ่อยๆ ไปเตะบอลร่วมกัน ลอกการบ้านกัน รับประทานข้าวความสามารถย่าหรือม่าม้าสายสนี พี่ป้อมถึงจะตัวเล็กแต่ว่าใจนักเลง ไม่กลัวคนไหนกัน
และก็มีป๋าเป็นนายทหารก็ชอบช่วยเหลือไม่ให้ผู้ใดกันแน่มาทารุณรังแก เมื่อพี่ป้อม มารับราชการทหารก็ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลในการพัฒนาหน่วยบ่อยครั้ง ในเรื่องผลประโยชน์รวมทั้งประเด็นต่างๆความสัมพันธ์ของเพื่อนพ้องทั้งคู่คนนี้มีมากมายจริงๆอย่างในตอนที่พี่ครามป่วยไข้จนถึงเดินเกือบจะมิได้ พี่ป้อมจะขมีขมันสอบถามน้องๆว่ามีแพทย์เก่งๆที่แหน่งใด รวมทั้งรีบให้ไปติดต่อในทันทีรวมทั้งยังช่วยเหลือดูแลด้วยตัวเองจนกระทั่งอาการดียิ่งขึ้น สองคนนี้เขารักกันราวกับญาติ..
ในส่วนของไลฟ์สไตล์นั้น หนังสือกล่าวว่า พี่ป้อมเป็นผู้ที่มีวินัยดีเยี่ยมตื่นแต่เช้าเวลา 4.00 น. วิ่งบริหารร่างกายต่อจากนั้นก็จะอาบน้ำแต่งตัวกินข้าวเช้าเวลา 5.45 น. ทุกวี่วันและจะเข้าสถานที่ทำงานเพื่อดำเนินงานในทันที ถึงแม้ปัจจุบันนี้ขณะครองตำแหน่งการบ้านการเมืองจะต้องก็ยังตื่นแต่เช้ามาบริหารร่างกายดังเดิม นอกเหนือจากนั้นบางทีอาจพูดได้ว่าเป็นพี่ป้อมสายบุญ โดยคนสนิทเล่าให้ฟังว่าสิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติเป็นประจำเป็นการมอบให้สังฆทานบ่อยๆรวมทั้งตักบาตรทุกๆวันหรือถ้าเกิดวันใดที่ไม่อาจจะทำด้วยตัวเอง ก็จะให้คนภายในบ้านปฏิบัติงานแทน นอกเหนือจากนั้นยังเป็นผู้ที่รักธรรมชาติแล้วก็ศิลป์
ที่สำคัญเป็นผู้ที่พึงพอใจในเรื่องอาหาร ถูกใจหาอาหารอร่อยๆให้เพื่อนพ้องๆน้องๆได้รับประทาน ร้านค้าที่พี่ป้อมเสนอแนะประกันเลยว่าอร่อยจริง ธรรมดาและก็เป็นคนทานง่าย เช้าตรู่จะทานชนิดโจ๊ก หรือข้าวต้ม หรือข้าวแกงซึ่งคล้ายกับอาหารที่แม่เคยทำให้ทานยุคเด็กๆรวมทั้งจะมีร้านค้าก๊วยเตี๋ยวพื้นที่ชื่นชอบ ชื่อ “ร้านค้ารสเลิศ” อยู่แถวถนนหนทางมูลเมืองอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
นอกเหนือจากนี้ในวันสบายสบายอยู่บ้านก็จะดำรงชีวิตส่วนตัวอยู่ที่บ้านด้วยการแต่งตัวสบายๆเย้าหยอกเล่นกับหมาตัวโปรดชนิดเชาเชา และก็เนื่องจากว่าหมาจำพวกเชาเชา มีขนยาวฟู และไม่ถูกชะตากับอากาศร้อนในประเทศไทยพี่ป้อมถึงหน้าเปิดเครื่องปรับอากาศให้ได้อยู่อย่างสุขสบาย เรียกว่าพี่ป้อมตั้งใจในทุกเรื่องตั้งใจทุกสุขของลูกน้อง ถึงแม้ขนาดหมาก็ยังได้รับการสนใจขนาดนี้
ในส่วนของชีวิตตอนเรียนรู้สถานที่เรียนจัดแจงทหาร เนื่องจากว่ามีท่าทางที่เป็นคนเมตตา เอื้อเฟื้อเอื้อเฟื้อ รวมทั้งเป็นเด็กจ.กรุงเทพฯ ก็เลยเป็นคนที่ดูแลเพื่อนพ้องตลอดหรือจะเรียกว่าหัวหน้าก็ไม่ต่างกัน โดยยิ่งไปกว่านั้นวันหยุดก็จะพาเพื่อนพ้องๆที่อยู่ชนบทแม้กระนั้นมิได้กลับไปอยู่บ้านมาพักที่ที่พัก พ่อรวมทั้งม่าม้าของพี่ป้อมจะรอดูแลเรื่องของกินให้อิ่มหนำตลอดระยะเวลา โดยพี่ป้อมจะชักชวนเพื่อนฝูงๆมาเล่นบอล ในบางครั้งจะพาเพื่อนพ้องไปเล่นว่าวที่สนามหลวง รวมทั้งบางคราวก็ออกท่องเที่ยวกันรื้นเริงแล้วกลับมานอนที่บ้านพล ปโคน.กัน
พี่ป้อมในฐานะทหารชายหนุ่มเมื่อเรียนจบจาก รร.จปร. ได้ออกดำเนินการสนามในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ และก็มีปัญหาการก่อให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง โดยได้รับมอบภารกิจกระทำกำจัดผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในพื้นที่รอบๆแนวเขาภูเขาพาน เขตรับผิดชอบของกองกองทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้หมวดใหม่ได้นำกำลังเข้ากระทำเที่ยวตรวจหาข่าวสาร ซุ่มจู่โจม แล้วก็ปะทะผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์บ่อยครั้ง สามารถจับตัวรวมทั้งยึดอาวุธพร้อมเอกสารสำคัญของผู้ก่อให้เกิดเหตุร้ายได้เยอะมากๆ
พื้นที่สำคัญที่อยากได้ปฎิบัติภารกิจเป็นพื้นที่อำเภอท้องนามึง จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นหลักที่ในเขตอิทธิพลของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ มีการปะทะอย่างหนัก
“ในปี 2513 – 2517 พี่ป้อมสมัครใจเข้าปฎิบัติราชการการศึกในประเทศที่3เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เรื่องราวขยายจากข้างนอกประเทศเข้ามาในประเทศไทย โดยเข้าไปรบที่ประเทศเวียดนามตรงเวลาราว 1 ปีเศษ หัวข้อนี้พี่ป้อมเล่าให้น้องๆที่ทำหนังสือเล่มนี้ฟัง ว่า
“ผมออกศึกที่เวียดนามขณะนั้นเขาให้ไปประจำที่ไซ่ง่อนเข้าขึ้นตรงต่อในกองพลเสื้อดำ ที่มีพล.อ. เสริมในนครเป็นผู้บังคับบัญชากองพลในยุคนั้น การจะได้เป็นทหารหากต้องการให้เติบโตก็จำต้องผ่านประสบการณ์การรบก่อน ตอนนั้นรบกันหนักมากมาย ยิงกันทุกเมื่อเชื่อวัน รอบๆเส้นขนานที่ 17 ทหารข้างเวียดกงวางกับดักระเบิดจำนวนมากเลยคงจะมีทหารไทยตายไปหลาย 100 คน”
แล้วหลังจากนั้นในปี 2517 ถึง 2518 แล้วพวกเรามอบหมายให้ปฎิบัติภารกิจกำจัดผู้ก่อให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงฯอีกรอบในพื้นที่อยู่บ้านห้วยโกร๋น อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่านเขตรับผิดชอบของกองกองทัพภาคที่3 ปฏิบัติหน้าที่นายทหารข้างการทำสงคราม กองพันหารราบเฉพาะกิจที่ 212
หรือหนังสือสรุปว่า พี่ป้อมได้ผ่านประสบการณ์การรบที่ดุเด็ดเผ็ดมันทั้งยังในแล้วก็นอกประเทศด้วยความเอาจริงเอาจังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ว่าจะเป็นการรบในแบบหรือนอกแบบในฐานะทหารนิรนาม พี่ป้อมก็เลยเป็นนายทหารมีประสบการณ์การรบสูงที่สุดคนหนึ่ง ที่ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยยังไม่รู้จัก ทำให้ได้รับความเชื่อใจสำหรับเพื่อการครอบครองตำแหน่งผู้กับหน่วยทหารระดับที่ค่อนข้างสูงถัดไป
หลังสำเร็จการศึกษาจากสถานศึกษาเสธ.บก พี่ป้อม เข้ารับตำแหน่งนายทหารข้างการทำสงคราม กรมทหารราบที่ 21 รักษาท่าน โดยเข้าปฎิบัติภารกิจปกป้องประเทศหรือพื้นที่ชายแดนไทยเขมร ด้านจังหวัดปราจีนบุรีหรือจังหวัดสระแก้วในขณะนี้ตั้งแต่ปี 2522 ถึงปี 2540 ระหว่างที่ครอบครองตำแหน่งผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับบัญชากรม ผู้บังคับบัญชากองพลรวมทั้งผู้จัดการกองกำลังบุริมทิศ ได้นำหน่วยเข้าปะทะกับฝั่งตรงข้ามแล้วก็มีครั้งคราวที่จำต้องอยู่ภายใต้เหตุการณ์การฉุกเฉินรวมทั้งเสี่ยงอันตราย ได้แก่การรบบ้านหนองปรือ การทำสงครามโนนหมากมุ่น สถานะการณ์บ้านหนองเอี่ยน สถานะการณ์บ้านโอบายเจือน ฯลฯ
“ก็หนักหนักทั้งหมดไม่ต่างอะไรกันพลาดไปก็คือตายในทุกพื้นที่ มันไม่มีผู้ใดเก่งหรือผู้ใดไม่เก่ง ผมการันตีได้ มันขึ้นกับกลอุบาย ขึ้นกับเหตุการณ์ในตอนนั้น จะกล่าวว่าที่ตรงนั้นน่ะนี้ไม่หนักไม่มี หรือกำลังเดินทางมากกำลังน้อยก็คือตายแบบเดียวกันลูกกระสุนปืนมันก็มิได้ถามคำถามว่าชื่อของคุณคืออะไร แล้วจะปลดปล่อยคุณ ตอนที่ผมอยู่ชายแดนไทยเขมร ก็รบกันดุเด็ดเผ็ดมันมากมาย..
ตอนนั้นผมนอนชายแดนเลยคะ นอนกับลูกน้อง ผมมิได้อยู่ที่กองพัน ผมจะอยู่กับกองร้อยด้านหน้าตลอด ผมจะไม่อยู่ด้านหลัง ผมไปกับลูกน้องตลอด จะเดินเลียบชายแดนเดินตามจุดตรวจไปกับลูกน้อง ชีวิตชายแดน มันเป็นอาชีพของพวกเรา แล้วก็เป็นความภูมิใจของพวกเรา สำหรับในการดำเนินงานเพื่อแผ่นดินกำเนิดอย่างแท้จริง ผมถูกใจอยู่ชายแดนมากมายนะ ด้วยเหตุว่ามีความคิดว่ามันอิสระดี” เป็นคำบอกเล่าของพี่ป้อมที่ถ่ายทอดให้น้องๆฟัง